บทความ

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับบ้านในแต่ละพื้นที่

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับบ้านแต่ละพื้นที่มีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านในเขตเมือง ชนบท หรือในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันเช่น พื้นที่ชื้น พื้นที่ร้อนจัด หรือพื้นที่ที่มีลมแรง วัสดุที่ใช้ควรสามารถทนทานต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่บ้านตั้งอยู่ ซึ่งจะช่วยให้บ้านมีความคงทนและสวยงามในระยะยาว เรามาดูกันว่ามีแนวทางการเลือกวัสดุอะไรบ้างที่เหมาะสมสำหรับบ้านในแต่ละสภาพแวดล้อม


1. การเลือกวัสดุสำหรับบ้านในพื้นที่ร้อนชื้น

พื้นที่ร้อนชื้น เช่น ภาคใต้ของประเทศไทย มีลักษณะอากาศที่ร้อนชื้นตลอดปีและมีฝนตกบ่อย ดังนั้นการเลือกวัสดุที่ระบายอากาศได้ดีและทนต่อความชื้นเป็นสิ่งที่สำคัญ

  • หลังคา: ควรเลือกใช้หลังคาแบบเมทัลชีทหรือซีเมนต์ไฟเบอร์ที่เคลือบสีสะท้อนแสงแดด เพราะช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้านและมีการระบายน้ำที่ดีในฤดูฝน
  • ผนัง: ควรใช้วัสดุผนังที่มีการดูดซับความชื้นต่ำ เช่น ผนังอิฐมวลเบาหรือผนังปูนแบบซีเมนต์กันชื้น จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อรา
  • พื้น: แนะนำให้ใช้พื้นกระเบื้องที่มีความทนทานและดูดซับความชื้นต่ำ เช่น กระเบื้องเซรามิกหรือกระเบื้องหินธรรมชาติที่ทำความสะอาดง่ายและป้องกันการลื่น
  • วัสดุสำหรับตกแต่ง: การใช้ไม้ควรเลือกไม้ที่ผ่านการอบหรือใช้ไม้สังเคราะห์ที่ทนทานต่อความชื้นเพื่อลดการบิดตัวของไม้

2. การเลือกวัสดุสำหรับบ้านในพื้นที่แห้งและร้อนจัด

สำหรับบ้านในพื้นที่แห้งและร้อนจัด เช่น ภาคกลางและภาคเหนือของไทย การป้องกันความร้อนและระบายอากาศอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้บ้านเย็นสบาย

  • หลังคา: ควรเลือกใช้หลังคาที่สะท้อนความร้อนได้ดี เช่น กระเบื้องหลังคาที่เคลือบเซรามิกหรือแผ่นเมทัลชีทที่มีฉนวนกันความร้อน
  • ผนัง: ควรใช้ผนังอิฐมวลเบาเพราะมีคุณสมบัติกันความร้อนหรือวัสดุฉนวนเพื่อป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในบ้าน
  • พื้น: พื้นที่ใช้กระเบื้องหรือหินธรรมชาติจะให้ความเย็นและทนทาน ไม่แนะนำให้ใช้พรมหรือพื้นไม้ที่เก็บความร้อน
  • หน้าต่างและประตู: ควรใช้กระจกที่มีฟิล์มกรองแสงเพื่อลดความร้อนจากแสงแดด หรือเลือกติดมู่ลี่และผ้าม่านเพื่อบังแสงแดด

3. การเลือกวัสดุสำหรับบ้านในพื้นที่ฝนตกชุก

บ้านในพื้นที่ฝนตกชุก เช่น ภาคเหนือและภาคใต้ ควรมีการป้องกันความชื้นและการระบายน้ำที่ดีเพื่อป้องกันความเสียหายจากความชื้นและน้ำ

  • หลังคา: ควรเลือกหลังคาที่มีการระบายน้ำที่ดี เช่น หลังคาทรงจั่วหรือทรงแหลมเพื่อให้ฝนไหลลงเร็ว นอกจากนี้ควรใช้วัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน เช่น กระเบื้องซีเมนต์หรือเมทัลชีทเคลือบกันสนิม
  • ผนัง: ควรใช้ผนังที่ทนความชื้น เช่น อิฐมวลเบา ผนังสำเร็จรูปที่มีการป้องกันความชื้น หรือการทาสีผนังภายนอกด้วยสีกันน้ำ
  • พื้น: การใช้พื้นกระเบื้องกันลื่นเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบ้านที่อยู่ในพื้นที่ฝนตกชุก และควรระวังไม่ใช้วัสดุไม้เพราะเสี่ยงต่อการบวมและเสียหายจากความชื้น
  • รางน้ำและระบบระบายน้ำ: บ้านควรมีรางน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพเพื่อระบายน้ำออกจากหลังคา และระบบระบายน้ำที่สามารถป้องกันน้ำท่วมบ้านได้ดี

4. การเลือกวัสดุสำหรับบ้านในพื้นที่ที่มีลมแรงหรืออยู่ใกล้ทะเล

บ้านที่อยู่ในพื้นที่ที่มีลมแรงหรือใกล้ทะเล เช่น บ้านติดชายฝั่งทะเล ต้องทนทานต่อการกัดกร่อนจากเกลือทะเลและทนแรงลม

  • หลังคา: ควรใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทานต่อแรงลม เช่น เมทัลชีทแบบเคลือบกันสนิมหรือกระเบื้องซีเมนต์ที่ติดตั้งอย่างมั่นคง
  • ผนัง: ควรเลือกผนังที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น อิฐมวลเบา ผนังปูนซีเมนต์ หรือไม้สังเคราะห์ที่ผ่านการป้องกันความชื้น
  • พื้น: พื้นหินหรือกระเบื้องเซรามิกเหมาะสำหรับบ้านในพื้นที่ทะเล เพราะทนทานและทำความสะอาดง่าย ไม่เกิดสนิมและการกัดกร่อนได้ง่าย
  • เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งภายนอก: ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น อลูมิเนียมหรือไม้สังเคราะห์ที่ป้องกันสนิม

5. การเลือกวัสดุสำหรับบ้านในเขตเมือง

บ้านในเขตเมืองมักมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และมีสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ดังนั้นวัสดุที่เลือกควรมีความทนทานและมีคุณสมบัติช่วยป้องกันเสียงรบกวนและมลพิษ

  • ผนัง: การใช้ผนังที่มีการป้องกันเสียง เช่น ผนังอิฐมวลเบาหรือวัสดุฉนวนกันเสียง จะช่วยลดเสียงจากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้านได้ดี
  • หน้าต่างและประตู: กระจกที่มีฟิล์มกันเสียงหรือกระจกสองชั้นช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกและช่วยเก็บอุณหภูมิภายในห้อง
  • พื้น: พื้นที่สามารถทำความสะอาดง่าย เช่น พื้นลามิเนตหรือกระเบื้อง ที่ทนทานและเหมาะสมกับบ้านในเมืองที่มักต้องการการดูแลรักษาง่าย
  • ระบบระบายอากาศ: ควรติดตั้งระบบระบายอากาศเพื่อให้บ้านมีอากาศหมุนเวียนที่ดี และสามารถป้องกันกลิ่นหรือมลพิษจากภายนอกได้

สรุป

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่บ้านตั้งอยู่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้บ้านมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนาน บ้านที่อยู่ในพื้นที่ร้อนควรเน้นวัสดุที่ช่วยกันความร้อน บ้านในพื้นที่ฝนตกชุกควรเลือกวัสดุที่ทนความชื้น ส่วนบ้านที่อยู่ใกล้ทะเลควรใช้วัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน ขณะที่บ้านในเขตเมืองควรมีวัสดุที่ช่วยกันเสียงและมลพิษ การเลือกวัสดุที่ถูกต้องจะช่วยให้บ้านสวยงามและใช้งานได้ยาวนาน